หลายคนอาจตื่นมาแล้วมีอาการแปลกๆ อย่างตอนที่เราตื่นนอนใหม่ๆ แล้วลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างกะทันหัน อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเวียนอย่างรุนแรง เห็นภาพบ้านหมุน เหมือนเลือดไหลลงจากหัวของเราอย่างรวดเร็ว แต่รู้รึเปล่าว่า อาการเวียนหัวแบบนี้นี่แหละเกี่ยวกับเรื่องของ ‘น้ำในหูไม่เท่ากัน‘ หรือที่ภาษาหมอเรียกว่า ‘โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ‘ ซึ่งหากได้นอนพัก หรืออยู่นิ่งๆ อาการเหล่านี้ก็จะหายไป แต่ ! ไม่ใช่เรื่องที่เราจะปล่อยเอาไว้เฉยๆ ได้นะ ไม่งั้นจะยิ่งทำให้สุขภาพของเราแย่ลงเรื่อยๆ
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดจากอะไร ?
ต้องบอกตามตรงว่าตอนนี้ทางการแพทย์ก็ยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดของการเกิดโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เกิดเป็นความผิดปกติของน้ำที่อยู่ภายในหูชั้นใน แต่อาการข้างเคียงที่ร่างกายเราเป็นก็อาจกระตุ้นให้เกิดน้ำในหูไม่เท่ากันได้ อาทิ
- เมื่อร่างกายอยู่ในอาการเหนื่อยล้า หรือต้องอดหลับอดนอนเป็นเวลานานๆ
- มีความเครียด
- เกิดความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่ภายในร่างกาย
- เกิดการติดเชื้อไวรัสในหู หูชั้นในอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือเป็นหูน้ำหนวก
ใคร ? เสี่ยงที่จะเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคนี้สามารถพบได้คนทุกกลุ่มอายุ โดยมีอายุตั้งแต่ 20 – 50 ปี พบในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันทั้งชายและหญิง แต่จะมีความเสี่ยงมากกว่าหากเป็นผู้ที่มีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติมาตั้งแต่เกิด
อาการ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นยังไง ?
ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเวียนหัวอย่างรุนแรง เห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวหมุน ซึ่งบางครั้งก็อาจทำให้เกิดการคลื่นไส้อาเจียนและเสียสมดุลในการทรงตัวของร่างกาย ในบางราย อาการที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาไม่นาน แต่บางรายก็อาจยาวนานเป็นชั่วโมง ทำให้ต้องอยู่นิ่งๆ จนกว่าอาการจะหายไปและดีขึ้น นอกจากนี้ อาการที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้เกิดเสียงรบกวนในหู ทำให้ประสิทธิภาพในการได้ยินลดลง หูอื้อ แต่ถึงแม้ว่าอาการแบบนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เวียนหัว หากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็อาจทำให้ประสาทการได้ยินเสื่อมลงไปเรื่องๆ ร้ายแรงที่สุดก็ถึงขั้นหูหนวก
แก้ไขได้ยังไงเมื่อเกิดน้ำในหูไม่เท่ากัน ?
- หลีกเลี่ยงการทำให้ร่างกายเกิดความเหนื่อยล้ามากๆ อาทิ การทำงานที่ติดต่อกันยาวนานจนเกินไป หรือการอดหลับอดนอน
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดความเครียด
- ใช้ยาเพื่อรักษาอาการตามคำสั่งของแพทย์
- ลดการกินอาหารที่มีรสจัด เค็มจัด หรือมีปริมาณโซเดียมสูง
- ลดการกินช็อกโกแลตและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- หากมีอาการเวียนหัวจากน้ำในหูไม่เท่ากันเกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือน ก็ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย หรืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมถึงการขับรถด้วย